วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558

รถยนต์ไร้คนขับ

เหตุผลที่ “กูเกิล” ถูกจัดอันดับเป็นบริษัทแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ขึ้นแซงหน้า “แอปเปิล” ที่ครองแชมป์ สามสมัยติดต่อกันได้เป็นครั้งแรกจากมุมมองจะมีอิทธิพลต่อผู้บริโภคในอนาคตจากการพัฒนานวัตกรรมให้กับชาวโลก ไม่ใช่เพียงแต่เฉพาะในโลกของ “แอนดรอยด์” เท่านั้น
โครงการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ (self-driving car) เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ถูกจับตามองว่า กูเกิล กำลังจะปฏิวัติโลกอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคต และได้เปิดตัวรถยนต์ต้นแบบไปเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้กูเกิลได้พัฒนาโครงการนี้มานานแล้ว แต่ใช้กับรถยนต์ปกติ เช่น รถโตโยต้า พรีอุส ไอบริด หรือเลกซัส เอสยูวี แต่รถยนต์ไร้คนขับที่เปิดตัวล่าสุด เป็นรถยนต์ต้นแบบที่ถูกออกแบบและผลิตโดยกูเกิลเอง เป็นรถยนต์ขนาดเล็ก 2 ที่นั่งหน้าตาเหมือนรถการ์ตูน ไม่มีพวงมาลัย ไม่มีคันเร่ง ไม่มีแป้นเบรกให้เหยียบ ไม่มีกระจกมองหลังและไม่มีที่นั่งคนขับ
เพราะจำกัดความเร็วไว้ที่ 40 กม./ชั่วโมง ภายในห้องโดยสารดูไม่มีอะไรมากมายนัก มีปุ่มให้กดไปและกดหยุดเท่านั้นพร้อมกับหน้าจอที่แสดงผลเส้นทางเดินทาง โดยใช้ซอฟต์แวร์และเซ็นเซอร์ควบคุมรถยนต์ทั้งหมด
กูเกิลได้แนะนำแนวคิดกับรถยนต์ไร้คนขับต้นแบบแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์เป็นคนขับหรือควบคุมรถยนต์อีกต่อไป และยืนยันถึงความเป็นไปได้ที่สำคัญคือความปลอดภัยบนท้องถนน รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงชีวิตบนท้องถนนของผู้คนนับล้านในอนาคตด้วย กับเป้าหมายว่าจะผลิตรถยนต์ต้นแบบรุ่นนี้ประมาณ 100 คันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ขณะเดียวกันในช่วงการทดสอบจะนำรถยนต์ที่ใช้คนขับบังคับด้วยมือมาทดสอบอีกด้วย
เป้าหมายโครงการนี้คือให้รถยนต์ไร้คนขับทำหน้าที่ทั้งหมด เช่น มีนัดทานอาหารเที่ยงในเมือง ให้รถยนต์หาที่จอดเอง ผู้สูงอายุสามารถใช้รถยนต์เดินทางโดยเสรี ไม่ต้องพึ่งพาลูกหลานให้ขับรถ หรือแม้แต่คนเมาสามารถใช้รถยนต์นี้ได้เช่นกัน
กูเกิลระบุว่ามันเป็นแรงบันดาลใจที่เริ่มต้นเกิดขึ้นจากกระดาษเปล่าและถามว่า รถยนต์นี้จะมีความแตกต่างจากรถยนต์ทั่วไปอย่างไร สิ่งสำคัญคือความปลอดภัย รถยนต์นี้จะมีเซ็นเซอร์คอยตรวจจับจุดบอดของรถยนต์หลายๆ จุด และสามารถตรวจจับวัตถุได้รอบคันภายในระยะทางไกลมากกว่าสนามฟุตบอลสองสนาม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการใช้รถยนต์บนท้องถนนที่มีรถยนต์ขับขี่ไปมาแบบยุ่งเหยิงรวมทั้งทางแยกอีกมากมาย
หากโครงการนี้ประสบความสำเร็จ ทางกูเกิลจะร่วมกับพันธมิตรที่จะนำเทคโนโลยีนี้มาให้ผู้ใช้รถบนท้องถนนปลอดภัยไร้อุบัติเหตุให้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินอีกต่อไป!

วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2558

คำศัพท์ภาษาอังกฤษ



Home  โฮม บ้าน


Car  คาร์  รถยนต์  


Bedroom  เบดรูม ห้องนอน


Toilet  ทอยเล็ท ห้องน้ำ


Kitchen  คิทเชน ห้องครัว


Drawing room  ดราวิงรูม  ห้องรับแขก


Yard  ยาร์ด  สนามหญ้า


School  สคูล  โรงเรียน

Store  สโตร  ร้านค้า


Restaurant  เรสเทอรอนท  ร้านอาหาร

วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

ประโยชน์ของสตรอเบอรี่


สตรอเบอรี่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผลไม้ที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะ.....
๑.มีสารต้นอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี วิตามินเอ โฟเลต และแอนโธไซยานินส์ ที่มีอยู่มากมายในสตรอเบอร์รี่ที่ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง ซึ่งผลจากการศึกษาพบว่า เมื่อเทียบน้ำหนักที่เท่ากับผลไม้ชนิดอื่น ๆ แล้ว พลังในการต้านอนุมูลอิสระของสตรอเบอรี่จะสูงกว่าส้มถึงหนึ่งเท่าครึ่ง สูงกว่าองุ่นแดง ๒ เท่า สูงกว่ากีวี ๓ เท่า สูงกว่ากล้วยหอมกับมะเขือเทศ ๗ เท่าและสูงกว่า
ลูกแพรถึง ๑๕ เท่า
นอกจากนี้ผลสตรอเบอรี่ยังอุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนอีกหลายชนิด เช่น เคอซิติน (quercetin) แอนโทไซยานิน (anthocyanin) เคมเพอรอล (kaempferol) รวมถึงวิตามินซีดังที่กล่าวมา ซึ่งพบว่ามีอยู่ในอัตรที่สูงมาก (สตรอเบอรี่ฝานบาง ๆ ๑ ถ้วยจะมีวิตามินซี ประมาณ ๙๔ กรัม) โดยมีผลงานวิจัยมากมายยืนยันว่า สารดังกล่าวได้ไปช่วยยับยั้งการสร้างสารคาร์ซิโนเจน (carcinogens) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการก่อโรคมะเร็ง รวมทั้งไปบล็อกกลไกหรือกระบวนการ (ตั้งแต่เริ่มแรก) ไม่ให้เกิดโรคขึ้น และถ้าเกิดโรคขึ้นแล้ว ก็จะไปยับยั้งเนื้องอก (tumors) ไม่ให้เจริญอีกต่อไป
๒.ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน
๓.อุดมด้วยวิตามินซี และธาตุเหล็ก มีคุณประโยชน์ต่อระบบเลือดและหัวใจ
๔.ในวิตามินซีนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่ามีกรดอินทรีย์สำคัญที่เรียกว่า “กรดแอสคอร์บิก” (ascorbic acid) ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ทั้งยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายต่อโรคภัยต่าง ๆ เช่น โรคภูมิแพ้ และโรคหวัด เป็นต้น ที่สำคัญคือ ยังช่วยชะลอความชรา และการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควรอีกด้วย
๕.ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้สะดวก มีสรรพคุณเป็นยาระบายอย่างอ่อน ยาขับปัสสาวะ 
รับประทานผลสตรอเบอร์รี่สดครั้งละ ๕-๖ ผล เพราะสตรอเบอรี่นั้นอุดมไปด้วยวิตามินซีและธาตุเหล็ก
๖.สามารถยับยั้งสารก่อมะเร็งกลุ่มไนโตรซามีนได้(สารกลุ่มนี้กระตุ้นการเกิดมะเร็งในลำไส้) เนื่องจากมีโพลีฟินอลปริมาณสูง
๗.มีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจน ลดริ้วรอย เพราะอุดมด้วยวิตามินซี
๘.อุดมด้วยซุปเปอร์ไฟเบอร์เพคติน ซึงสามารถช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลได้ระดับหนึ่ง
๙.ดูแลสายตา ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาส่วนใหญ่จะเกิดจากอนุมูลอิสระ และการขาดสารอาหารบางชนิด และเมื่อเราอายุมากขึ้น 
ดวงตาของเรายิ่งถูกทำร้ายได้ง่าย ซ้ำร้ายความแก่ชราจะทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเสื่อมสภาพ แต่สตรอเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างวิตามินซี ฟลาโวนอยด์ กรดฟิโนลิกและกรดเอลลาจิก ซึ่งช่วยชะลอกระบวนการดังกล่าว แถมยังมีโพแทสเซียมซึ่งช่วยปรับความดันในตาให้เป็นปกติอีกด้วย
ผลไม้ตระกูล เบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อุดมไปด้วยวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ลูทีน ซิแซนทิน โอฟลาวโวนอยด์ และสารแอนต้าแซนธิน ช่วยบำรุงดวงตา ช่วยให้ผิวบุนัยน์ตา รวมทั้งเยื่อบุของอวัยวะต่าง ๆ แข็งแรง โพแทสเซียมซึ่งช่วยปรับความดันในตาให้เป็นปกติและสตรอเบอร์รี่ยังช่วยป้องกันโรคตา เช่น ต้อกระจก โรคตาบอดกลางคืน การรับประทานสตรอเบอร์รี่เป็นประจำทุกวัน ช่วยลดความเสื่อมของจอประสาทตาได้ถึง ๕๐%
๑๐.ป้องกันโรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ เมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานมากๆ เข้า กล้ามเนื้อของเราก็มีแต่จะถดถอย ของเหลวบริเวณข้อต่อกระดูกจะเหือดแห้งไปเรื่อย ๆ และร่างกายก็สะสมสารพิษอย่างกรดยูริกเอาไว้มากขึ้น ๆ ทำให้โรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ถามหา แต่เราสามารถขับไล่โรคทั้งสองได้ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสรรพคุณล้างพิษของสตรอเบอร์รี่
๑๑.ส่งเสริมการทำงานของสมอง คนเราทั่ว ๆ ไปยิ่งแก่จะยิ่งขี้หลงขี้ลืม เพราะเนื้อเยื่อและเส้นประสาทในสมองเสื่อมสภาพจากอนุมูลอิสระตัวร้าย ซึ่งสตรอเบอร์รี่ช่วยได้เพราะมีวิตามินซี และไฟโตนิวเทรียนต์ ที่ทำให้อนุมูลอิสระหมดฤทธิ์ และคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ระบบประสาท แถมยังมีไอโอดีนที่ทำให้สมองและระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
๑๒.ลดความดันโลหิต หากโซเดียมเป็นตัวการทำให้เกิดความดันโลหิตสูง สตรอเบอร์รี่ก็มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับความดันให้เป็นปกติ
๑๓.ช่วยปราบโรคหัวใจได้อย่างดี อีกทั้งสตรอเบอร์รี่ยังมีใยอาหาร โฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระมากมายซึ่งจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย แถมวิตามินซีบางชนิดที่พบในสตรอเบอร์รี่จะเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงอีกด้วย
๑๔.มีแคลเซียม และฟอสฟอรัส ช่วยในการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
๑๕.มีคุณสมบัติในการรักษาโรคนิ่วในไตได้อีกด้วย
๑๖.นำใบเสตอเบอร์รี่สดมาแช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืน แล้วนำมาอมบ้วนปาก จะใช้เป็นยาแก้กลิ่นปากได้อย่างดี ทำให้ลมหายใจสดชื่น
ใช้กลั้วคอ แก้อาการเจ็บคอ ทำให้สุขภาพเหงือกและฟันแข็งแรง รักษาแผลในปากได้อีกด้วย
๑๗.สรรพคุณทางสมุนไพรของสตรอเบอร์รี่ ผลสด ช่วยบรรเทาโรคตับอักเสบ ท้องร่วง และโรคเหน็บชา
๑๘.ใบสดของสตรอเบอร์รี่ นำมาโขลก แล้วไปประคบตามร่างกายจะช่วยลดอาการอักเสบและบวมช้ำได้เป็นอย่างดี
๑๙.มีกรดฟอลิค เป็นประโยชน์สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ช่วยป้องกันไม่ให้ทารกในครรภ์สมองพิการได้
๒๐.ช่วยดีท็อกซ์ขับสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่นผ่อนคลาย
๒๑.ใช้ทำความสะอาดผิวหน้า โดยให้ผสมสตรอเบอร์รี่ ๒-๓ ผลกับน้ำมะนาว นำมานวดให้ทั่วใบหน้า แล้วจึงล้างออก 
สตรอเบอร์รี่อุดมด้วยวิตามินและกรดเอเอซเอธรรมชาติ ซึ่งสามารถช่วยปรับสภาพผิวและลดการอุดตันของรูขุมขนได้
เป็นอย่างดี
๒๒.ช่วยบำรุงผิวให้สวยใสไร้ริ้วรอย โดยให้นำผลสตรอเบอร์รี่สดฝานบาง ๆ วางให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ ๑๐-๑๕นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ใช้บำรุงผิวหน้าก่อนนอนเป็นประจำ จะช่วยลบริ้วรอยจากแสงแดดได้
๒๓.มีพลังงานต่ำ จึงเหมาะสำหรับลดความอ้วน
๒๔.มีวิตามินซีสูง จึงสามารถป้องกันโรคหวัดได้เมื่อทานเป็นประจำ
๒๕.ชะลอความชรา เพราะมีสารช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้ ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก และช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกได้
๒๖.ใบและรากสตรอเบอร์รี่ตากจนแห้ง ใช้ชงกับน้ำเดือด ดื่มแทนน้ำชา ใช้ใบ และรากสตรอเบอร์รี่ ๒ ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำเดือด ๑กาขนาดกลาง สำหรับสตรีที่มีประจำเดือนไม่ปกติ มาไม่สม่ำเสมอจะหายเป็นปกติ
๒๗.ใช้เหล้าไวน์ ๑ ถ้วยตวง ใส่รากและใบสตรอเบอร์รี่ที่ตากแห้ง ๑/๒ ถ้วยตวง ต้มให้เดือดแล้วกรองเอาแต่น้ำ ให้คนที่เป็นโรคตับอักเสบ โรคเลือดออกตามไรฟัน โรคท้องร่วง โรคทางเดินปัสสาวะ ดื่มก่อนอาหารทุกมื้อ อาการป่วยจะทุเลาลงได้
๒๘.บำรุงร่างกายหลังฟื้นไข้ โดยรับประทานน้ำคั้นจากผลสตรอเบอร์รี่สดวันละ ๑ แก้ว
๒๙.ใช้ใบสตรอเบอร์รี่ซ้อนกันหลาย ๆ ใบ นำมาประคบแก้รอยช้ำบวมบนร่างกาย
๓๐.นำใบสตรอเบอร์รี่และรากที่ตากแห้งแล้ว มาใส่โถปั่น ปั่นจนเป็นผงใช้แทนยาสีฟัน ทำให้ฟันขาวเป็นเงางาม
๓๑.มีวิตามิน บี ๙ (โฟลิค) ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด และช่วยสร้างเม็ดเลือด ป้องกันโรคโลหิตจาง ช่วยทำให้หลอดเลือดสะอาดปราศจากคราบไขมันเกาะจับ ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

อาหารที่ชอบ คือ ต้มจืดปลามึกยัดไส้หมูสับ

ส่วนประกอบ

  • หมูสับ (250 กรัม) 1 ถ้วยตวง
  • ปลาหมึกกล้วยขนาดเล็ก 8 ตัว
  • วุ้นเส้นแช่น้ำหั่นท่อน 1 นิ้ว 1 ถ้วยตวง
  • แครอท 1 หัว
  • คนอร์อร่อยชัวร์(สำหรับหมักหมู) 2 ช้อนชา
  • คนอร์ซุปหมูก้อน 1 ก้อน
  • น้ำเปล่า 4 ถ้วยตวง
  • ต้นหอม และผักชีซอยสำหรัยโรยหน้าตามชอบ

วิธีทำ

  • นำปลาหมึกไปล้างให้สะอาด เอาหนวดไว้ สะเด็ดน้ำ แล้วพักไว้
  • สับแครอทหยาบๆ 2 ช้อนโต๊ะ ที่เหลือหั่นเป็นแว่นบางๆ พักไว้
  • นำหมูสับ วุ้นเส้น และแครอทสับ มาผสมกับคนอร์อร่อยชัวร์ให้เข้ากัน นำหมูที่ได้ยัดในตัวปลาหมึกที่เตรียมไว้ หมูที่เหลือจากยัดไส้ปลาหมึก นำมาปั้นเป็นก้อนๆ ใส่ในต้มจืดได้
  • ตั้งหม้อต้มน้ำบนไฟแรงจนเดือด ใส่คนอร์ซุปหมูก้อนลงไป คนให้ละลาย ใส่ปลาหมึกยัดไส้และหมูปั้นก้อนลงไป
  • ใส่แครอทลงไป ต้มจนส่วนผสมทั้งหมดสุก ใส่ต้นหอม และผักชีปิดไฟ จัดใส่ชามพร้อมเสิร์ฟ
  • หมายเหตุ เวลายัดไส้ปลาหมึกอย่ายัดให้แน่นมากเพราะเวลาสุกจะล้นออกมาไม่สวย ใช้หนวดปลาหมึกยัดปิดด้านบนกันหมูหลุดออกมา ส่วนเวลาต้มหลังจากเดือดแล้วลดไฟลง อย่าให้เดือดแรง เพราะ ทำให้น้ำซุปขุ่น

ส.ค.ส ส่งความสุขวันปีใหม่

********** กลอนปีใหม่ ***********
สวัสดีวันปีใหม่ 
ขอให้ทุกทุกคนจงสุขขี 
ขอให่สิ่งที่ผ่านมาในสิ้นปี 
จงทิ้งไปซะทีที่ผ่านมา 
อย่ากังวลเรื่องใดที่แล้วผ่าน
อย่าให้วันวานมาทำให้หม่นหมอง
เอาความคิดความกังวลเป็นเรื่องรอง
แล้วเก็บความเศร้าหมองให้ไปกับสิ้นปี

วันปีใหม่ขอให้มีความสุข
ท่านที่สุขขอให้สุขยิ่งยิ่งขึ้น
ทำให้ปีใหม่เราให้ครึกคลื้น
เพราะสุขใจยิ่งขึ้นวันปีใหม่

ยานอวกาศลแรกของโลก


      อะพอลโล 11  เป็นยานอวกาศลำแรกที่ลงจอดบนผิวของดวงจันทร์สำเร็จขององค์การนาซา อะพอลโล 11 ถูกส่งขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศโดยจรวดแซทเทิร์น 5 (Saturn V) ที่ฐานยิงจรวจที่แหลมเคเนดี รัฐฟลอริดา เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1969 อีก3วันต่อมาก็สามารถลงจอดบริเวณ "ทะเลแห่งความเงียบสงบ” (Mare Tranquilitatis) ได้สำเร็จ ลูกเรือประกอบด้วย นีล อาร์มสตรอง (Neil Alden Armstrong) ผู้บังคับการ, เอดวิน อัลดริน (Adwin Aldrin) และ ไมเคิล คอลลินส์ (Michael Collins) อาร์มสตรองเป็นมนุษย์คนแรกที่ลงมาประทับรอยเท้าบนดวงจันทร์ ตามมาด้วยอัลดริน ทั้งสองได้ติดตั้งเครื่องวัดแผ่นดินไหว กระจกเลเซอร์เครื่องวัด "ลมสุริยะ" และเก็บตัวอย่างหินและดิน 20.8 กิโลกรัม นำกลับโลก รวมเวลาอยู่บนดวงจันทร์ 21 ชั่วโมง 36 นาที ใช้เวลานับตั้งแต่ออกเดินทางจนกลับถึงโลก 195 ชั่วโมง 18 นาที 35 วินาที กลับถึงโลกในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 ยานอวกาศอะพอลโล 11 เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการอะพอลโล (Apollo Project) ซึ่งเกิดจากความปรารถนาของประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี ที่ต้องการส่งมนุษย์ไปยังดวงจันทร์ให้สำเร็จ และกลับมายังโลกอย่างปลอดภัย

นักบอลในดวงใจ

ประวัตินักฟุตบอลในดวงใจ
       

        ชาริล ชับปุยส์ เกิดวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2535 ที่เมืองโคลเทิน (Kloten) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นบุตรคนเดียวของแดเนียล ชัปปุยส์ ชาวสวิส และไพลิน ชัปปุยส์ ชาวไทย มีส่วนสูง 177 เซนติเมตร ชาริลเริ่มต้นหัดเล่นฟุตบอลกับบิดาแต่เด็ก จนมีโอกาสเริ่มเล่นฟุตบอลระดับเยาวชนให้กับสโมสรโคลเทินที่สวิตเซอร์แลนด์ในปี พ.ศ. 2542 จากนั้น 1 ปี ก็ย้ายมาอยู่เอสซี ยังเฟลโลวส์ยูเวนตุส (SC Young Fellows Juventus)[2][ต้องการแหล่งอ้างอิงดีกว่านี้] ต่อมาใน พ.ศ. 2546 ชาริล ชัปปุยส์ย้ายมาอยู่ทีมชุดเยาวชนของสโมสรกราสฮอปเปอร์ ซูริก ในสวิสซูเปอร์ลีก

การเล่นฟุตบอลอาชีพ

กราสฮอปเปอร์ ซูริก

ในขณะเป็นนักเตะชุดเยาวชนของกราสฮอปเปอร์ ซูริก ชาริล ชัปปุยส์ ได้มีโอกาสลงเล่นให้กับทีมกราสฮอปเปอร์ 2 ซึ่งเป็นทีมสำรองที่ลงแข่งในระดับลีกาคลาสสิก หรือดิวิชัน 4 ของสวิตเซอร์แลนด์ ในฤดูกาล 2552-2553 โดยในฤดูกาลนั้นชาริลเคยมีชื่อเป็นตัวสำรองของทีมกราสฮอปเปอร์ ซูริกชุดใหญ่หลายนัดในการแข่งขันระดับซุปเปอร์ลีก ซึ่งเป็นลีกสูงสุด แต่ไม่ได้ถูกส่งลงสนาม
ปีต่อมาชาริล ชัปปุยส์ถูกส่งมาเล่นให้กับทีมสำรองในระดับดิวิชั่น 4 อีกครั้งในฤดูกาล 2553-2554 อย่างไรก็ตามชาริล ชัปปุยส์ มีโอกาสลงสนามให้ทีมชุดใหญ่ของกราสฮอปเปอร์ 1 นัด ในฟุตบอลถ้วยสวิส คัพ รอบแรก เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553 ในนัดที่ไปเยือนสโมสร แบร์โรช กอร์กีเย

โลการ์โน

เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 ชาริลย้ายไปเล่นให้กับสโมสรโลการ์โน ในระดับแชลเลนจ์ ลีก หรือดิวิชั่น 2 ของสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยสัญญายืมตัว ภายใต้การคุมทีมของดาวิเด โมรันดี และลงสนามให้โลการ์โน นัดแรกในวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ในแชลเลนจ์ลีกที่ต้องออกไปเยือนสโมสรโวห์เลน ที่สนามนีเดอร์แมทเทน โดยชาริลถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองในช่วงท้าย
วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ชาริล ชัปปุยส์ ยิงประตูแรกในลีกให้กับโลการ์โนได้ในนัดที่บุกไปชนะสโมสรเอฟซี วิล 2-1 ที่สนามแบร์กฮอลซ์ เมื่อจบฤดูกาล สโมรโลการ์โนได้อันดับที่ 9 โดยชาริล ชัปปุยส์ลงสนาม 28 นัด (ในแชลเลนจ์ลีก 26 นัด สวิสคัพ 2 นัด) ยิงในลีก 2 ประตู

เอฟซี ลูกาโน

ฤดูกาล 2555-2556 ชาริล ชัปปุยส์ ย้ายทีมในรูปแบบยืมตัวอีกครั้ง โดยย้ายมาร่วมทีมเอฟซี ลูกาโน ในแชลเลนจ์ลีก 5 เดือน โดยลงเล่นภายใต้การคุมทีมของไรมอนโด ปอนเต
ชาริลลงสนามนัดแรกให้เอฟซี ลูกาโนในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 โดยเปิดบ้านชนะเอฟซี วิล 3-1 ที่สนามคอร์นาเรโด และเป็นกำลังสำคัญในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก โดยเมื่อหมดสัญญายืมตัวในเดือนธันวาคม จึงเดินทางกลับสโมสรกราสฮอปเปอร์ ตลอดการยืมตัวชาริลสนามให้เอฟซี ลูกาโน 17 นัด (ในแชลเลนจ์ลีก 16 นัด สวิสคัพ 1 นัด)

บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

เดือนมกราคม พ.ศ. 2556 ชาริล ชัปปุยส์ ย้ายมาเล่นฟุตบอลในประเทศไทยกับสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของอรรถพล บุษปาคม ด้วยสัญญา 2 ปี และลงสนามให้บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดนัดแรกเป็นตัวจริงเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 ในเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก รอบเพลย์ออฟ ที่พบกับบริสเบน โรอา (ประเทศออสเตรเลีย) ที่สนามนิวไอโมบายสเตเดียม
ต่อมาวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ชาริล ชับปุยส์ลงเล่นรายการฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานเป็นครั้งแรก ในการแข่งขันฟุตบอลถ้วยพระราชทานประเภท ก. 2556 หรือ โค้ก แชริตี้ คัพ 2013 ที่พบกับสโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่สนามศุภชลาศัย โดยที่บุรีรัมย์เอาชนะไปได้ 2-0 และคว้าแชมป์ถ้วย ก.ไปครอง
การลงเล่นในไทยพรีเมียร์ลีกครั้งแรกของชาริล ชัปปุยส์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556 ในนัดที่บุรีรัมย์ฯ เปิดสนามนิวไอโมบาย สเตเดี้ยม พบกับสโมสรสุพรรณบุรี เอฟซี นัดนั้น เขาปั่นลูกเตะมุมโค้งเข้าประตูไปอย่างสวยงาม[8]
ต่อมาในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 ชาริล ได้รับบาดเจ็บหนักที่หัวเข่าจากเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มที่บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พบกับสโมสรเจียงซู เสิ่นตี้ (ประเทศจีน) โดยชาริล ยิงประตูให้ทีมขึ้นนำ 2-0 ชาริลวิ่งแสดงความดีใจไปบริเวณมุมธงพร้อมกระโดดแบบสุดตัว แต่จังหวะลงขาขวาที่รับน้ำหนักกลับเสียหลักจนหัวเข่าบิดอย่างน่าหวาดเสียว ทำให้ไม่สามารถเล่นต่อได้ และต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บ 3 เดือน เขากลับมาลงสนามได้อีกครั้งในวันที่ 7 กรกฎาคม ในไทยพรีเมียร์ลีก เลก 2 ที่ต้องออกไปเยือนสโมสรสุพรรณบุรี เอฟซี โดยถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองในครึ่งหลัง
จบฤดูกาล บุรีรัมย์ฯ คว้าแชมป์ เขาสนามในไทยพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้รวม 16 นัด ยิงในลีก 2 ประตู

สุพรรณบุรี เอฟซี

ในไทยพรีเมียร์ลีก 2557 ชาริล ชัปปุยส์ไม่ได้รับประกันตำแหน่งตัวจริงและเป็นตัวสำรองอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2557 ช่วงเลกที่ 2 ของไทยพรีเมียร์ลีก สโมสรสุพรรณบุรี เอฟซียืมตัวไป ภายใต้การคุมทีมของเวลิซาร์ เอมิลอฟ โปปอฟ โค้ชชาวบัลแกเรีย เพื่อโอกาสในการลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ โดยชาริลได้เสื้อหมายเลข 40
ชาริล ชัปปุยส์ลงเล่นให้สุพรรณบุรี เอฟซีนัดแรกวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557 ที่พบกับสโมสรบีอีซี เทโรศาสน[11] และมาทำประตูแรกให้กับสุพรรณบุรี เอฟซี ได้จากลูกโหม่ง ในวันที่ 26 กรกฎาคม ที่พบสโมสรฟุตบอลสิงห์ท่าเรือ ที่สนามกีฬากลางจังหวัดสุพรรณบุรี
การเล่นที่สุพรรณบุรี เอฟซี ชาริลทำผลงานได้อย่างดีจนสามารถยึดตำแหน่งในแดนกลาง และเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง โค้ชทีมชาติไทย เรียกเขาติดทีมชาติไทยชุดอายุไม่เกิน 23 ปี ไปแข่งขันในเอเชียนเกมส์ 2014 ที่ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งไทยได้อันดับสี่
จบฤดูกาล สโมสรจบฤดูกาลด้วยอันดับ 6 ในตารางคะแนนไทยพรีเมียร์ลีก 2557 ซึ่งเป็นอันดับสูงสุดของสโมสร และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศถ้วยไทยคม เอฟเอคัพ ได้เป็นครั้งแรก โดยชาริลได้เซ็นสัญญาย้ายมาร่วมทีมสุพรรณบุรี เอฟซีอย่างถาวรเมื่อจบฤดูกาล

ทีมชาติ

สวิตเซอร์แลนด์

ในระดับทีมชาติ ชาริล ชัปปุยส์ เริ่มเข้าทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ตั้งแต่รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี และคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ที่สหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรีย ได้ในปี พ.ศ. 2552 โดยเขามีส่วนช่วยทีมครบทุกนัดในการแข่งขันรายการระดับโลก ด้วยผลงานยอดเยี่ยมดังกล่าวจึงทำให้ชาริลเคยตกเป็นข่าวกับสโมสรฟุตบอลระดับโลกทั้งฮัมบูร์กและยูเวนตุสทีเดียว

ทีมชาติไทย

ชาริล ชัปปุยส์ เคยถูกเรียกเข้าร่วมทีมชาติไทย โดยวินฟรีด เชฟเฟอร์ อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยเพื่อเข้าร่วมศึกฟุตบอลเอเชียนคัพ 2015 แต่เนื่องจากเขาเคยเล่นให้กับทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ในการแข่งขันฟุตบอลโลกรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปีมาก่อน จึงต้องให้ฟีฟ่าพิจารณาการเปลี่ยนสัญชาติ ซึ่งไม่ทันกับการแข่งขันในครั้งนั้น จึงยังไม่ได้ร่วมแข่งขันในนามทีมชาติไทย
หลังจากที่ฟีฟ่ารับรองให้ ชาริล ชัปปุยส์ เป็นนักเตะทีมชาติไทยเต็มตัว เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หัวหน้าฝึกสอนนักฟุตบอลทีมชาติไทยในขณะนั้น ก็เรียกให้ชาริลเข้าร่วมทีมชาติรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ซึ่งเขาได้ลงเล่นครั้งแรกในนามทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีอย่างไม่เป็นทางการ เมื่อครั้งที่ต้อนรับการมาเยือนของสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาในเดือนสิงหาคม ก่อนที่จะเปิดตัวในนามทีมชาติอย่างเป็นทางการในนัดที่พบกับทีมชาติยูกันดา เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2556 และได้รับใช้ทีมชาติอีกครั้งในการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 27 ที่ประเทศพม่า

เกียรติประวัติ

ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์

บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

ทีมชาติไทย

ผลการแข่งขันฟุตบอลทีมชาติไทยที่ผ่านมา

  ชาริล ชัปปุยส์ และ ชนาธิป สรงกระสินธ์ กลายเป็นฮีโร่ของทีมชาติไทยอีกครั้งเมื่อซัดคนละประตูช่วงท้ายเกมช่วยให้ทีมชาติไทยพลิกชะตาเอาชนะมาเลเซียด้วยสกอร์รวม 4-3 ครองจ้าวอาเซียนในรอบ


คืนความสุขให้แฟนบอลได้เฮ แพ้2-3แต่ประตูรวมเฉือนชนะ ‘เมสซี่เจ-ชัปปุยส์’รับบท‘ฮีโร่’
สิ้นสุด 12 ปีที่รอคอย! ขุนพล “ช้างศึก” ทีมชาติไทย คว้าแชมป์ศึกลูกหนังชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2014” มาครองได้สมใจหลังทำเอาแฟนบอลชาวไทยใจหายทั้งประเทศ เมื่อโดน “เสือเหลือง” มาเลเซีย เจ้าถิ่นนำไปก่อน 3-0 ก่อนจะมายิง 2 ประตู ใน 10 นาทีสุดท้าย จากพ่อรูปหล่อ ชาริล ชัปปุยส์ กับ “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ ให้ไทยจบด้วยการแพ้มาเลย์ 2-3 แต่ประตูรวมชนะ 4-3 ได้เถลิงบัลลังก์แชมป์สร้างความสุขส่งท้ายปีให้คอบอลพี่น้องประชาชนชาวไทยทั้งชาติ รับเงินรางวัลบวกอัดฉีด 25 ล้านบาทไปแบ่งกัน ขณะที่ชนาธิป ผู้กดประตูที่ 2 ยังได้รับรางวัลเอ็มวีพี นักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์อีกต่างหาก
การแข่งขันศึกฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน หรือ “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014” รอบชิงชนะเลิศ นัดที่ 2 ที่สนามบูกิต จาลิล กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันเสาร์ที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่ง “เสือ เหลือง” มาเลเซีย ต้อนรับการมาเยือน “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ซึ่งในนัดแรกทีมไทยเป็นฝ่ายเอาชนะมาได้ก่อน 2-0 ขอเพียงแค่เสมอหรือแพ้แค่ 1 ลูกก็จะคว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 4 และจะเป็นการคัมแบ็กกลับมาคว้าแชมป์รายการนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีทันที
โดยเกมนี้ทั้ง 2 ทีมเล่นกันท่ามกลางสนามที่เปียกเล็กน้อย เนื่องจากก่อนเกมประมาณ 5 ชั่วโมงมีฝนเทตกลงมา ขณะเดียวกันก็มีแฟนบอลเจ้าถิ่นเข้ามาชมการฟาดแข้งเต็มความจุกว่า 1 แสนที่นั่ง นอกจากนี้ยังมีกองเชียร์ไทยทั้งที่เดินทางมาจากประเทศไทยและทำงานอยู่ที่มาเลเซียรวมตัวกันมาเชียร์ทีมช้างศึกประมาณ 2 พันคนอีกด้วย
ในการประชุมทีมก่อนออกเดินทางจากโรงแรมที่พักมายังสนาม “บิ๊กเษม” เกษม จริยวัฒน์วงศ์ ผู้จัดการทีมของทีมชาติไทย ได้กล่าวเตือนสตินักเตะทุกคนให้เล่นอย่างมีวินัยทั้งเกมรุกและรับ อย่าเสียสมาธิโดนใบเหลืองใบแดงง่ายๆ หากถูกยั่วยุ พร้อมทั้งยังบอกว่าเรามีโอกาสเข้าใกล้แชมป์มากที่สุด ขอให้ฮึดอีกแค่อึดใจเดียวก็จะเป็นแชมป์แล้ว นอกจากนี้ยังกระตุ้นปลุกใจนักเตะให้สู้ตาย โดยบอกว่าเราคนไทยไม่เคยเสียเอกราชให้กับใคร ไม่ว่าใครหน้าไหนเราก็ไม่เกรงกลัวทั้งนั้น เราจะสู้เพื่อชื่อเสียงของประเทศ เพื่อในหลวง และเพื่อคนไทยทั้ง 70 ล้านคนที่เชียร์เราอยู่ทางบ้าน เราจะต้องเอาแชมป์กลับบ้านเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทยให้ได้
ขณะที่กุนซือ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า มั่นใจว่านักเตะไทยจะไม่สะทกสะท้านกับเสียงเชียร์ของแฟนบอลชาวมาเลเซีย 1 แสนคนในสนามบูกิต จาลิลแน่นอน เพราะเคยผ่านสมรภูมิในซีเกมส์และเอเชียนเกมส์มาแล้ว พร้อมกันนี้ยังยืนยันด้วยว่า หากกองเชียร์มาเยอะเท่าไหร่จะทำให้ทีมไทยเล่นได้มันยิ่งขึ้นมากเท่านั้น
ขณะที่บรรยากาศหน้าสนามบูกิต จาลิล ก่อนเกมจะเริ่มขึ้นนั้นแฟนบอล “เสือเหลือง” มาเลเซีย เดินทางมาถึงสนามตั้งแต่ช่วงเที่ยง แม้ว่าต่อมาจะมีฝนตกลงมาอย่างหนักก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่หวั่น ขณะเดียวกันก็มีแฟนบอลไทยหลายสิบคน โดยเฉพาะกลุ่มที่เดินทางมาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่มีตั๋วเข้าชมเกมนี้ เนื่องจากตั๋วได้จำหน่ายหมดไปแล้ว ทำให้ต้องผิดหวังไปตามๆกัน
ในส่วนแฟนบอลที่มาจากประเทศไทย และมีตั๋วชัวร์ๆอยู่ในมือแล้วร่วมร้อยคนต่างเดินทางมารวมตัวกันหน้าสนามพร้อมกับมาบูมเชียร์กันอย่างสนุกสนาน แม้ว่าจะมีสายฝนโปรยปรายลงมาอย่างหนักแต่ทุกก็ยังอยู่ในอารมณ์สนุกสนาน ร้องเพลงเชียร์รอรับแชมป์
จากนั้นเวลา 16.45 น. บรรยากาศในสนามบูกิตจาลิลเริ่มที่จะคึกคักขึ้นเรื่อยๆบรรดาอุลตร้ามาลายา กองเชียร์พันธุ์ดุของ “เสือเหลือง” มาเลเซีย รวมพลกันกว่า 3,000 คนหน้าสนาม ก่อนจะร้องเพลงกันอย่างสนุก ทว่าได้มีการจุดพลุแฟร์ขึ้น จนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต้องเข้าไประงับเหตุทันใด จนหวิดจะวางมวยกันก่อนเข้าสนามแต่ก็ไม่มีเหตุการณ์บานปลายเกิดขึ้น
ขณะที่ “บังยี” วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้เดินทางมาให้กำลังใจนักเตะพร้อมคณะผู้บริหารจากสมาคมฟุตบอลฯ อย่าง พ.อ.(พิเศษ) วรวุฒิ ทองศรีงาม เลขาธิการสมาคมลูกหนังไทย โดยยังยืนยันว่า ยอดอัดฉีดหากทีมชาติไทยสามารถคว้าแชมป์ได้จะรับเงินอัดฉีดทันที 25 ล้านบาท โดยมาจากโหลทอง โฮลดิ้ง ที่ประกาศอัดฉีดตั้งแต่แรกแล้ว 7 ล้านบาท, สมาคมฟุตบอลฯ 5 ล้านบาท, รางวัลแชมป์เอเอฟเอฟซูซูกิคัพ 6.4 ล้านบาทและโบนัสอัดฉีดในแต่ละนัดอีกเป็นจำนวน 7 ล้าน รวมเบ็ดเสร็จ 25 ล้านเศษๆมีให้กับนักเตะทีมชาติไทยชุดนี้แน่นอน
จากสถิติในศึกอาเซียน คัพ ระหว่างไทยกับมาเลเซีย เจอกันมาทั้งหมด 12 ครั้ง ไทยชนะ 7 แพ้ 2 เสมอ 3 ครั้ง ยิงได้ 17 เสีย 9 ประตู ราคาต่อรองฟุตบอลซูซูกิคัพรอบชิงนัดสองระหว่างมาเลย์กับไทยที่นัดแรกไทยเปิดบ้านชนะมาได้ก่อน 2-0 เมื่อ 17 ธ.ค.57 นั้นปรากฏว่าโต๊ะเรตเปิดราคาออกมาชนิดที่มองว่าไทยจะคว้าแชมป์ไปครองได้มากกว่า โดยหากแทงไทยเป็นแชมป์นั้นแทง 100 จะได้แค่ 5 บาท แต่หากแทงว่ามาเลย์จะเป็นแชมป์นั้นถ้าแทง 100 บาทจะได้เต็ม เสียแค่ 21 บาท จากราคาดังกล่าวนี้หมายถึงโต๊ะพนันนั้นมองว่าไทยมีโอกาสคว้าแชมป์ครั้งนี้สูงทีเดียว
สำหรับ 11 ผู้เล่นตัวจริงของ ทีมชาติไทย ที่ใช้ลงสนามในระบบ 4-3-3 เป็นไปตามคาด ประกอบไปด้วย ผู้รักษาประตู กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ กองหลัง 4 คน แบ็กซ้าย พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา คู่เซ็นเตอร์ สุทธินันท์ พุกหอม กับ ธนบูรณ์ เกษารัตน์ แบ็กขวา นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม กองกลาง 3 คน สารัช อยู่เย็น, ชาริล ชัปปุยส์ และประกิต ดีพร้อม แนวรุก ริมเส้นด้านซ้าย เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ด้านขวา อดิศักดิ์ ไกรษร และกองหน้าตัวเป้า เป็น “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์
เริ่มเกมครึ่งแรกแค่ 5 นาที กองเชียร์เสือเหลือง นับแสนชีวิตก็ได้เฮกันลั่นสนาม เมื่อจังหวะที่ สุทธินันท์ พุกหอม พยายามจะเข้าถึงบอล แต่ถูก ตาลาฮา นอร์ชาห์รุล บังบอลจนล้มไปด้วยกัน ผู้ตัดสิน ฟากานี ชาวอิหร่าน ชี้เป็นลูกจุดโทษให้เจ้าถิ่นหน้าตาเฉย ท่ามกลางความงุนงงของนักเตะช้างศึก ก่อนที่บินราฮิม ซาฟิค จะสังหารผ่านนายทวาร กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ เป็นประตูให้มาเลเซียขึ้นนำไทย 1-0 สกอร์รวม 1-2
หลังเสียประตูแข้งไทยพยายามรวบรวมสมาธิ จนมาถึงนาทีที่ 10 กองเชียร์เจ้าบ้านใจหายวาบ เมื่อ กองหลังส่งลูกคืนให้ มาริฮัส ฟาริซาล ผู้รักษาประตูมาเลเซีย ก่อนจะเตะสวนออกมาถูกอดิศักดิ์ ไกรษร กระโดดบล็อก บอลกระเด้งเกือบเข้าประตูตัวเอง
นาทีที่ 20 อมิรุดดิน อาฟีฟ เข้าบอลแรงใส่ชาริล ชัปปุยส์ จากด้านหลัง ผู้ตัดสินควักใบเหลืองให้ทันที จากนั้นอีก 2 นาทีต่อมา เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ได้โอกาสซัดนอกกรอบด้วยเท้าซ้าย บอลแฉลบพื้นเข้ากรอบ ต้องให้มาริฮัส ฟาริซาล ออกแรงเซฟ
นาทีที่ 27 อัมรี ยายา เป็นนักฟุตบอลคนที่ 2 ของเจ้าบ้าน ที่รับใบเหลือง หลังสอย เกริกฤทธิ์ จากด้านหลังอย่างน่าเกลียด ก่อน 3 นาทีต่อมามาฮายุดดิน อินดรา ก็มาเสียใบเหลืองติดๆกันอีก หลังเล่นนอกเกมใส่ชาริล ชัปปุยส์
จากนั้นนาทีที่ 32 ไทย เกือบได้ประตูเสมอ หลังนฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม เติมขึ้นมาเปิดบอลเข้ากลางบอลผ่านอดิศักดิ์ ไกรษร หลุดมาถึง เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ยิงคนเดียว แต่เจ้าก้องยิงออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย นาทีที่ 40 กองหลังไทยพลาด ปล่อยให้บอลหลุดมาถึงตาลาฮา นอร์ชาห์รุล ยิงจ่อๆหน้าประตู ดีที่กองหลังไทยตามมาบล็อกได้ทันหวุดหวิด
ท้ายเกมผู้ตัดสินแจกใบเหลืองให้อดิศักดิ์ ไกรษร หลังผู้ตัดสินมองว่าเจตนาถ่วงเวลาตอนเจ็บ ก่อนเกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ได้โอกาสยิงอีกครั้ง แต่ยังไม่ผ่าน มาริฮัส ฟาริซาล นายทวารเสือเหลือง กระทั่งช่วงทดเวลาบาดเจ็บในครึ่งแรก กองเชียร์เจ้าบ้านได้เฮอีกครั้ง เมื่อนอร์ชาห์รุลเปิดบอลทางริมเส้นฝั่งขวามาทางเสา 2 กองหลังไทย รวมถึง กวินทร์ออกมากะจังหวะพลาดทำให้มาฮายุดดิน อินดรา สอดมากระโดดโขกจากด้านหลังบอลเข้าประตูไปให้มาเลเซียนำไทย 2-0 สกอร์รวมเท่ากัน 2-2 ก่อนจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้
เกมครึ่งหลังมา 2 นาที ไทยเกือบได้ประตู จากจังหวะที่เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ หลุดไปยิงแฉลบบอลออกหลังไป แต่นาทีที่ 57 ทีมเสือเหลือง กลับมาได้ประตูเพิ่มอีก เมื่อได้ลูกฟรีคิกระยะมีลุ้น บินราฮิม ซาฟิค ปั่นบอลโค้งข้ามกำแพง บอลฮุกเสียบสามเหลี่ยมอย่างสวย มาเลเซียนำไทย 3-0 ประตูรวมแซงนำ 3-2 ไปแล้ว
เกมผ่านหนึ่งชั่วโมง ไทย ขยับเปลี่ยนตัว โดยส่งศราวุธ มาสุข ลงมาแทน ประกิต ดีพร้อม และนาทีที่ 67 ไทย มีโอกาสบ้าง เมื่อได้ลูกเตะมุม ชาริล ชัปปุยส์ เปิดให้ศราวุธ มาสุข กระโดดโหม่ง แต่บอลไม่เข้ากรอบ นาทีต่อมา มาเลเซียเปลี่ยนประตูอีก โดยส่งอาห์เหม็ด มุสลิม ลงมาแทน อมิรุดดิน อาฟีฟ ที่เจ็บเล่นต่อไม่ไหว
นาทีที่ 80 ไทย ได้ฟรีคิกระยะ 20 หลา นอกกรอบเขตโทษ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ วิ่งข้ามหลอกให้ สารัช อยู่เย็น ปั่นโค้งข้ามกำแพง นายทวาร มาริฮัส ฟาริซาล ปัดบอลได้จังหวะแรก แต่ชาริล ชัปปุยส์ วิ่งตามซ้ำเปรี้ยงเดียวตุงตาข่ายให้ไทยไล่มา 1-3 ประตูรวมเสมอ 3-3 แต่ทีมไทยได้เปรียบอเวย์โกลทันที
3 นาทีต่อมา ผู้ตัดสินแจกใบเหลืองให้ทั้งสองทีม โดยให้ซาฟีที่มาเข้าบอลใส่สารัช อยู่เย็น อย่างจงใจเตะ และให้ชาริล ชัปปุยส์ โทษฐานโวยผู้ตัดสิน
จากนั้นนาทีที่ 86 กองเชียร์ไทยได้เฮกันทั้งประเทศ เมื่อศราวุธ มาสุข ได้บอลลุยมาจากริมเส้นฝั่งขวา ก่อนจ่ายให้อดิศักดิ์ ไกรษร ดึงบอลหนึ่งจังหวะ แล้วไหลให้ “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ กดซัดเปรี้ยงเดียวด้วยซ้ายนอกกรอบ บอลพุ่งเสียบเข้าประตูไปอย่างเฉียบขาด ให้ไทยไล่มา 2-3 ประตูรวมไทยนำ 4-3 ก่อนจะหมดเวลาด้วยสกอร์นี้ ส่งผลให้ทีมชาติไทย แม้จะบุกแพ้ 2-3 แต่ประตูรวม เฉือนเอาชนะ “เสือเหลือง” มาเลเซีย ไปได้ 4-3 คว้าแชมป์เอเอฟเอฟซูซูกิคัพมาครองได้เป็นครั้งแรก ในรอบ 12 ปี และเป็นแชมป์ถ้วยอาเซียนรายการนี้เป็นสมัยที่ 4 สูงสุดเท่ากับทีมชาติสิงคโปร์
ที่บ้านเสนาเมือง เลขที่ 66/1 หมู่ 10 บ้านศรีประเสริฐ ต.วังชัย อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น บ้านเกิดของซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยชุดเหรียญทองกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 27 ประเทศเมียนมาร์, คว้าอันดับ 4 เอเชียนเกมส์ ประเทศเกาหลีใต้ และหัวหน้าผู้ฝึกสอนชุดซูซูกิคัพ ครั้งล่าสุด มีบรรดาเพื่อนบ้านนับร้อยคนพากันสวมเสื้อทีมชาติไทยและเสื้อที่มีสัญลักษณ์ธงชาติไทย มารอชมและเชียร์อย่างคึกคัก โดยมีการนำจอโปรเจกเตอร์ขนาดใหญ่มาติดตั้งบริเวณลานหน้าบ้าน เพื่อให้ทุกคนร่วมส่งใจไปเชียร์ทีมชาติไทยคว้าแชมป์ซูซูกิคัพ ที่ประเทศมาเลเซีย
นายสุริยา เสนาเมือง อายุ 70 ปี และนางริสม เสนาเมือง อายุ 69 ปี บิดา-มารดาของซิโก้ กล่าวว่า วันนี้เป็นเกมที่ไม่ง่ายสำหรับทีมชาติไทย แม้จะเอาชนะในนัดแรกมา 2 ประตูต่อ 0 แต่เชื่อมั่นว่าลูกชายจะนำแชมป์กลับมาเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทยทั้งประเทศ จึงขอแรงเชียร์ของคนไทยทั่วประเทศได้ส่งกำลังใจไปให้ทีมชาติไทยด้วย และหากทีมชาติไทยคว้าแชมป์ ตนจะเลิกสูบบุหรี่ทันที
การคว้าแชมป์ของทีมชาติไทยในครั้งนี้ ได้รับเงินรางวัลจากเอเอฟเอฟ จำนวน 200,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 6,400,000 บาท ขณะที่“เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธุ์ ผู้ที่ซัลโวประตูที่ 2 ในเกมนี้ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นนักเตะทรงคุณค่า เอ็มวีพี ประจำทัวร์นาเมนต์ โดยเจ้าตัวได้รับเงินรางวัล 10,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 320,000 บาท ชนาธิปเปิดเผยว่า เป็นแชมป์ที่ยิ่งใหญ่ที่ตนขอมอบให้เป็นของขวัญของชาวไทยทั้งประเทศ และเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่คืนก่อนนัดชิงชนะเลิศ ตนฝันว่ายิงได้ 1 ประตู และทีมชาติไทยเป็นแชมป์ ซึ่งมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ช่วยกันเล่นจนสามารถคว้าแชมป์ได้สำเร็จ รวมไปถึงขอบคุณแฟนๆชาวไทยที่ตามมาเชียร์ถึงที่นี่ และที่ประเทศไทยด้วย แม้เราจะเป็นช้าง แต่เป็นช้างศึกที่มาคว้าแชมป์ในถ้ำเสือ รู้สึกภูมิใจมาก” ชนาธิปกล่าว
ส่วน “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือใหญ่ทีมช้างศึก เปิดเผยว่า ขอชื่นชมลูกทีมทุกคนที่มีสมาธิกับเกม สวมหัวใจสิงห์เข้าสู้ และไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ส่วนตัวแล้วแม้ว่าโดนนำ 3-0 แต่ก็นึกอยู่ในใจเสมอว่าจะทำประตูได้
สำหรับทีมชาติไทยจะเดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 21 ธ.ค. ออกจากสนามบินนานาชาติ กัวลาลัมเปอร์ อินเตอร์เนชันแนล แอร์พอร์ต 2 ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบินที่เอฟดี 320 ในเวลา 13.55 น. ถึงท่าอากาศยานดอนเมืองในเวลา 15.00 น.
“ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือใหญ่ทีมช้างศึก กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาพวกเราทำงานหนักกันมาตลอด 2 ปี สุดท้ายแล้วสามารถทวงแชมป์กลับมาได้ เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ การทำงานถือว่าสำเร็จลุล่วงแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีศึกใหญ่ๆรออยู่อีก ไม่ว่าจะเป็นซีเกมส์ ปรีโอลิมปิก และคัดฟุตบอลโลก ซึ่งตรงนี้จะทำให้ดีที่สุด และที่สำคัญไม่แพ้กัน ต้องขอขอบคุณแฟนบอลและนักเตะทุกคนที่ร่วมแรงร่วมใจกันมาตลอด
ทั้งนี้ ซิโก้-เกียรติศักดิ์เปิดเผยว่า หลังจบเกมได้รับโทรศัพท์จากนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงความยินดีกับชัยชนะถือเป็นการสร้างความสุขให้กับคนไทยทั้งประเทศ และการคว้าแชมป์ครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพอ พระทัยเป็นอย่างมาก
ขณะที่ “บิ๊กเษม” เกษม จริยวัฒน์วงศ์ ผู้จัดการทีมชาติไทย กล่าวว่า วันนี้เป็นวันที่รอคอยมานาน ขอมอบแชมป์ซูซูกิ คัพ ให้เป็นของขวัญคริสต์มาส และของขวัญปีใหม่ของชาวไทยทุกคน ส่วนตัวตื่นเต้นไม่น้อยเลย แต่เท่าที่คลุกคลีกับฟุตบอลมาก็ต้องยอมรับว่าฟุตบอลก็เป็นเช่นนี้ มีเรื่องตื่นเต้นให้ลุ้นตลอด ไม่ต่างจากหนังเรื่องเจมส์บอนด์ที่สุดท้ายแล้วก็จะเป็นทางของพระเอกที่จะเป็นฮีโร่ในท้ายที่สุด
บรรยากาศที่บริเวณหน้าสนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน ถนนหัวหมาก บริษัทซูซูกิได้นำจอดิจิตอลขนาดใหญ่พร้อมเครื่องเสียงมาติดตั้งบริเวณด้านหน้าบันไดทางเข้า ตั้งแต่เวลา 17.00 น.มีแฟนบอลทยอยเข้าจับจองที่นั่ง ภายในงานเต็มไปด้วยความครึกครื้น มีการเล่นเกมชิงรางวัลจากนักเตะทีมชาติไทยรุ่นเก๋า อาทิ ธชตวัน ศรีปาน กระทั่งเวลา 19.00 น. เกมจึงเริ่มขึ้นบรรยากาศแฟนบอลที่สนามราชมังคลาฯ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆทยอยมาจนเต็มลาน ด้านหน้าหลายพันคนเมื่อกรรมการเป่านกหวีดเริ่มการแข่งขันได้เพียงไม่กี่นาที แฟนบอลไทยต้องเงียบเสียงลงเมื่อมาเลเซียได้จุดโทษ ระหว่างที่นักบอลตั้งลูก แฟนบอลเอาแต่นั่งสวดภาวนาไม่ให้เข้า แต่มาเลเซียก็ยิงนำไป 1 ประตูต่อ 0 ครึ่งแรกไทยโดนนำ 3-0 แฟนบอลบางส่วนเริ่มทยอยกลับ ต่อมาเริ่มเกมครึ่งหลังแฟนบอลชาวไทยได้กระโดดกอดกันดีใจพร้อมกันทั้งสนามเมื่อทีมชาติไทยยิงตีไข่แตกได้สำเร็จ และมีกำลังใจร้องเพลงเชียร์ทีมชาติไทยอย่างพร้อมเพรียงกัน จนได้เฮลั่นอีกครั้งเมื่อไทยได้เพิ่มอีก 1 ประตู แฟนบอลต่างโผเข้ากอดกัน ตะโกนโห่ร้อง เต้นรำทำเพลงกันยกใหญ่ ก่อนจะช่วยกันนับถอยหลังจนกรรมการเป่าหมดเวลา