วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ข่าวที่น่าชื่นชม "บัณฑิตสาวน้ำใจงาม ช่วยคนถูกรถชนทั้งเครื่องแบบ"

บัณฑิตสาวน้ำใจงาม ช่วยคนถูกรถชนทั้งเครื่องแบบ

บัณฑิตสาวน้ำใจงาม ช่วยคนถูกรถชนทั้งเครื่องแบบ

นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com
(2 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโลกออนไลน์มีการแชร์เรื่องราวดีๆในสังคม จากเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า Boon Khongkha ซึ่งได้โพสต์ภาพของบัณฑิตสาวคนหนึ่งยศว่าที่ร้อยตรีหญิง มีชื่อว่า น้องธัญญ่า อยู่ในชุดเครื่องแบบสีขาวที่ใส่สำหรับเข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตร ประสบเหตุบัณฑิตสาวร่วมสถาบันคนหนึ่งถูกรถชนจนเลือดอาบ ซึ่งผู้โพสต์ภาพบรรยายว่า น้องธัญญ่ารีบวิ่งเข้าไปช่วยเหลือทันทีทั้งที่ไม่รู้จักกัน ในภาพเจ้าตัวยังสวมมงกุฎดอกไม้ และไม่ได้สนใจว่าชุดสีขาวสะอาดจะเปื้อนเลือดแต่อย่างใด ซึ่งเมื่อภาพดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ก็มีชาวสังคมออนไลน์แสดงความชื่นชมเธอเป็นอย่างมาก 
"คนงาม....หลังจากได้ยินผมบอก มีคนโดนรถชน เธอก็วิ่งเข้าไป และทำอะไรที่ผมไม่คาดคิด เธอเข้าไปช่วยโดยที่ไม่ต้องสวมถุงมือยางด้วย จนเลือดแปะเปื้อนที่แขนของเธอ ผมเองต้องเตือน และรีบเอาแอลกอฮอล์เช็ดให้ ผมไม่รู้ว่าวันนี้มีเพื่อนบัณฑิตรับปริญญาทั้งหมดกี่คน แต่....ผมรู้ว่า เธอเป็นบัณฑิตคนเดียวที่เข้าไปช่วยเหลือ ช่วยกดไลค์ให้บัณฑิตน้ำใจงามคนนี้ด้วยครับ"

โรงเรียนมวกเหล็กวิทยา

โรงเรียนมวกเหล็กวิทยา


ประวัติ

ในระยะแรกอาศัยอาคารเรียนของโรงเรียนวัดมวกเหล็กนอก (ราษฎร์พัฒนา) มีนักเรียน 46 คน และครู 6 คน มีนายทวี จันทวร เป็นผู้อำนวยการคนแรกของโรงเรียน ต่อมาได้ย้ายมาตังในที่ดินราชพัสดุ ซึ่งอยู่ในความดูแลขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) มีเนื้อที่ 41 ไร่ 0 งาน 13 ตารางวา มีอาคารเรียน 1 หลังเป็นแบบ 216 ล ซึ่งเป็น อาคาร 1 ในปัจจุบัน ปีการศึกษา 2521 มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรใหม่ และจำนวนนักเรียนชั้น ม.1 เพิ่มมากขึ้น จึงได้สร้างอาคารเรียนชั่วคราว 1 หลัง [1]
ปีการศึกษา 2522 ได้รับงบประมาณสร้างหอประชุม 1 หลังอาคารโรงฝึกงาน 3 หลัง จำนวน 6 หน่วยอาคารพยาบาลและสหกรณ์จำนวน 1 หลัง
ปีการศึกษา 2527 โรงเรียนได้รับอนุมัติให้เปิดสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมีแผนการเรียน 2 แผนการเรียน ได้แก่ แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ และแผนการเรียนเกษตรกรรม
ปีการศุกษา 2528 ได้รับอนุมัติให้ใช้พื้นที่ราชพัสดุในการดูแลขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย(อสค)เพื่อสร้างสนามกีฬา จำนวน 7 ไร่ 0 งาน 05 ตารางวา
ปีการศึกษา 2531 โรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการนำร่อง "การจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรมัธยมศึกษา พุทธศักราช 2524 เพื่อประกอบอาชีพอิสระ"ของกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนจึงได้เปิดผนการเรียนอาชีพอิสระเพิ่มขึ้นอีก 1 แผนการเรียน และในปีนี้โรงเรียนได้รับคัดเลือกให้เป็นโรงเรียนในโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาการใช้หลักสูตรประจำปีการศึกษา 2532 โรงเรียนได้จัดการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเป็น 6-5-5 และในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเป็น 3-2-2 รวมจำนวนห้องเรียน 23 ห้อง
ปีการศึกษา 2533 โรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาหลักสูตร มีนักเรียน 802 คน ครู-อาจารย์ 47 คน จำนวนห้องเรียน 23 ห้อง นักการภารโรง 5 คน และพนักงานขับรถ 1 คน
ปีการศึกษา 2546 โรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการ"หนึ่งอำเภอหนึ่งโรงเรียนในฝัน"
ปีการศึกษา 2555 มีที่ดิน 48 ไร่ 0 งาน 18 ตารางวา มีครู-อาจารย์ 68 คน ครูอัตราจ้าง 8 คน พนักงานราชการ 2 คน มีจำนวนนักเรียน 1,600 มีนักการภารโรง 3 คน พนักงานขับรถ 1 คน
ปีการศึกษา 2556 ปัจจุบันมีที่ดิน 48 ไร่ 0 งาน 18 ตารางวา มีครู-อาจารย์ 63 คน ครูอัตราจ้าง 12 คน พนักงานราชการ 2 คน มีจำนวนนักเรียน 1,589 มีนักการภารโรง 3 คน พนักงานขับรถ 1 คน

สัญลักษณ์ประจำโรงเรียน

  • ปรัชญาโรงเรียน : สามัคคี มีวินัย ใฝ่ศึกษา บูชาคุณธรรม นำชุมชน
  • สีประจำโรงเรียน : สีเลือดหมู และสีเหลือง
  • ตราประจำโรงเรียน : ตราประจำโรงเรียนมีสัญลักษณ์และความหมาย ดังนี้
    • ดวงเทียน : ครูผู้ให้ความรู้แก่นักเรียน
    • รัศมี : แสงสว่างนำทางนักเรียนและชุมชน
    • ธมฺมจารี สุขํ เสติ : ความหมาย ผู้ประพฤติธรรมย่อมเป็นสุข
    • ภูเขา ท้องฟ้า เมฆ : ธรรมชาติที่รอบล้อมโรงเรียน
    • ต้นกล้า : นักเรียนทุกคนที่กำลังเติบโตเป็นอนาคตของชาติ
  • ต้นไม้ประจำโรงเรียน : ต้นประดู่แดง
  • เพลงประจำโรงเรียน : มาร์ชม.ว.[2]

    โรงเรียนที่ชื่นชอบ "โรงเรียนสุรนารีวิทยา"

    โรงเรียนสุรนารี


    ประวัติของโรงเรียน

    โรงเรียนสุรนารีวิทยา โรงเรียนสตรีของรัฐบาลแห่งแรกในจังหวัดนครราชสีมา เปิดทำการสอนเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ค. 2468 โดยแรกเริ่มได้ใช่ชื่อว่า “โรงเรียนประจำจังหวัด” อยู่ในบริเวณวัดสุทธจินดา ทำการสอนตั้งแต่ชั้นมูล (เด็กเล็ก) และในปี พ.ศ. 2470 ได้โอนนักเรียนหญิงทั้งหมดจากโรงเรียนประจำมณฑลนครราชสีมาไปอยู่รวมกัน และจึงเปิดสอนเฉพาะนักเรียนหญิง
    • พ.ศ. 2475 ก่อตั้งโรงเรียนเป็น “โรงเรียนประจำจังหวัด” ตั้งอยู่บริเวณวัดสุทธจินดา
    • พ.ศ. 2477 เปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนสุรนารีวิทยา” เป็นโรงเรียนหญิง คู่กับโรงเรียนชายประจำจังหวัด "ราชสีมาวิทยาลัย"
    • พ.ศ. 2490 วันที่ 20 พฤษภาคม โรงเรียนสุรนารีวิทยาเริ่มเปิดสอนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
    • พ.ศ. 2493 ย้ายที่อยู่โรงเรียนมาตั้งอยู่ในที่ตั้งปัจจุบัน จัดเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษสังกัดส่วนกลาง กองการมัธยมศึกษา กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ สถานที่ตั้งเลขที่ 248 ถนนมิตรภาพ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 2 กิโลเมตร ขนาดของพื้นที่ที่บริเวณโรงเรียน มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 53 ไร่ 2 งาน 96 ตารางวา
    พื้นที่แบ่งเป็น 2 ส่วน
    • ส่วนที่ 1 ปลูกสร้างอาคารเรียนตั้งอยู่ริมถนนมิตรภาพ มีเนื้อที่ 48 ไร่ 2 งาน 50 ตารางวา
    • ส่วนที่ 2 ปลูกสร้างบ้านพักครูตั้งอยู่ถนนช้างเผือก มีเนื้อที่ 5 ไร่ 50 ตารางวา
    ที่ดินที่ใช้จัดตั้งโรงเรียน มีจำนวน 2 แปลง
    • แปลงที่ 1 เป็นที่ดินราชพัสดุ จำนวน 48 ไร่ 2 งาน 50 ตารางวา
      • หมายเลขทะเบียนที่ นม. 747 โฉนดที่ 735 เลขที่ 6 ถนนมิตรภาพ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
    • แปลงที่ 2 เป็นที่ราชพัสดุ จำนวน 5 ไร่ 46 ตารางวา
      • หมายเลขทะเบียนที่ นม. 91 โฉนดที่ 5090 เลขที่ 6 ถนนช้างเผือก ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
    • โรงเรียนสุรนารีวิทยาเป็นโรงเรียนที่มีต้นกำเนิดของโรงเรียนมัธยมแบบประสมแห่งแรกของประเทศไทย (Comprehensive School)
    • พ.ศ. 2495 ทางการได้แต่งตั้ง นางสาวลาวัลย์ ถนองจันทร์ ครูใหญ่โรงเรียนสตรีร้อยเอ็ดมาดำรงตำแหน่งครูใหญ่โรงเรียนสุรนารีวิทยา
    • พ.ศ. 2507 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตร การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของโรงเรียนสุรนารีวิทยา นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแก่ชาวสุรนารีวิทยาจากผลการทดสอบนี้ยังมีมีผลให้เกิดโรงเรียนมัธยมแบบประสมในประเทศอีกหลายโรงเรียน รวมทั้งหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช 2521 และหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช 2524 ก็มีผลจากการทดลองจัดการศึกษาที่โรงเรียนสุรนารีวิทยาแห่งนี้อีกด้วย
    • พ.ศ. 2519 นางสาวลาวัลย์ ถนองจันทร์ ได้รับแต่ตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมสามัญศึกษากระทรวงศึกษาธิการ และกรมสามัญศึกษาได้แต่งตั้งให้ นางฉวี ถีระวงษ์ มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนสุรนารีวิทยาแทน และสร้างอาคารอเนกประสงค์ชั้นล่างเป็นห้องสมุด ซึ่งได้รับ พระราชทานนามจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ว่า “อาคารวิทยาสมาคร” และเสด็จพระราชดำเนินเปิดอาคาร เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524
    • พ.ศ. 2528 นางฉวี ถีระวงษ์ เกษียณอายุราชการ กรมสามัญศึกษาแต่ตั้งนางสมพงศ์ ศิริวัฒน์ มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนสุรนารีวิทยา
    • พ.ศ. 2537 นางสาวสมจิตต์ บุตรดีมี ผู้อำนวยการระดับ 9 มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนสุรนารีวิทยา ต่อจากนางสมพงศ์ ศริวัฒน์ ที่เกษียณอายุราชการ ได้รับงบประมาณก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์ 8 ชั้น ซึ่งสร้างเสร็จในปีงบประมาณ 2542
    • พ.ศ. 2542 นายศิลปสิทธิ์ ทับทิมธงไชย ผู้อำนวยการระดับ 9 ได้มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนสุรนารีวิทยา ต่อจากนางสาวสมจิตต์ บุตรดีมี ที่เกษียณอายุราชการได้ดำเนินงานตามนโยบาย
    • พ.ศ. 2543 ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายนโรงเรียนสุรนารีสังกัดโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดนครราชสีมา กองการมัธยมศึกษา กรมสามัญ กระทรวงศึกษาธิการ
    • พ.ศ. 2546 ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม โรงเรียนสุรนารีวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมา เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
    • พ.ศ. 2547 โรงเรียนสุรนารีวิทยา ได้รับคัดเลือกจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานให้จัดหลักสูตรโครงการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ เน้นการศึกษา (English Program) ระดับช่วงชั้นที่ 3

    เกียรติประวัติ

    โรงเรียนสุรนารีวิทยา ได้รับคัดเลือกจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ ให้เป็นโรงเรียนนำร่องผู้นำการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับการกระจายอำนาจ เพื่อสนองและนำผลการปฏิรูปการศึกษาไปสู่ความสำเร็จ และตามกฎกระทรวง ลงวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
    • สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้พิจารณาให้เข้าร่วมโครงการโรงเรียนคู่พัฒนา ปีการศึกษา 2550 ระหว่างโรงเรียนสุรนารีวิทยา กับโรงเรียนสุรนารีวิทยา ๒ เพื่อพัฒนาโรงเรียนให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐานเท่าเทียมกัน
    • โรงเรียนสุรนารีวิทยา ได้รับคิดเลือกจากกระทรวงศึกษาธิการ ให้จัดหลักสูตรโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับการพัฒนา และส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดับช่วงชั้นที่ 4 ปีการศึกษา 2551
    • โรงเรียนสุรนารีวิทยา ได้รับการคัดเลือกให้เป็นโรงเรียนที่มีความพร้อมในการใช้หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศึกราช 2551 เริ่มใช้ปีการศึกษา 2552
    • โรงเรียนสุรนารีวิทยา นักเรียนวงโยธวาฑิตโรงเรียนสุรนารีวิทยา จำนวน 120 คน ได้แชมป์ถ้วยพระราชทานจากการประกวดวงโยธวาฑิตนักเรียนนักศึกษาแห่งประเทศไทย ปีการศึกษา 2552
    • โรงเรียนสุรนารีวิทยา ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมประกวดแข่งขันดนตรีโลก ครั้งที่ 16 ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 20 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2552 ได้รับรางวัลเกียรติยศ คือ รางวัลเหรียญทองประเภท Maching และรางวัลชนะเลิศ Top of The World Championship ประเภท Display
    • โรงเรียนสุรนารีวิทยา ได้รับรางวัลโรงเรียนพระราชทาน ปีการศึกษา 2552 ระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ "ได้รับรางวัลนักเรียนพระราชทาน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และ ได้รับรางวัลนักเรียนพระราชทาน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ปีการศึกษา 2552"

    สัญลักษณ์ประจำโรงเรียน

    ต้นเฟื่องฟ้า ต้นไม้ประจำโรงเรียน
    • ตราประจำโรงเรียน ตรงกลางเป็นรูปคุณย่าโมครอบด้วยเสมา ข้างล่างเป็นชื่อ โรงเรียนสุรนารีวิทยา
    • น้ำเงิน - ขาว คือสีประจำโรงเรียน ที่มีความหมายถึงกุลสตรีสุรนารีวิทยา
         สีน้ำเงิน หมายถึง สงบ สุขุม สุภาพ หนักแน่น เคร่งขรึม ละเอียด รอบคอบ สง่างาม สูงศักดิ์มีศักดิ์ศรี เป็นระเบียบ ถ่อมตน
         สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์ ซื่อสัตย์ สะอาด ปราศจากมลทิน
    ทั้งสองสีรวมกันจึงหมายถึง การเปรียบเสมือนสตรีที่สุภาพ มีความสง่างาม และมีความบริสุทธิ์ ปราศจากมลทินทั้งปวง
    • ต้นไม้ประจำโรงเรียน ต้นเฟื่องฟ้า หมายถึง ความเบิกบาน สว่างไสว ความรุ่งเรืองที่ก้าวไกลแห่งชีวิต

    ระบบการปกครอง 12 คณะสี

    โรงเรียนสุรนารีวิทยา เป็นโรงเรียนสตรีที่มีนักเรียนเข้าศึกษาจำนวนมากในทุกๆปี จึงได้มีการจัดการปกครองแบ่งเป็น "12 คณะสี" เพื่อให้สามารถดูและปกครองได้อย่างทั่วถึงกัน โดยใช้ชื่อวีรสตรีผู้กล้าหาญ และนางในวรรณคดีสมัยโบราณทั้งสิบสองคนเป็นตัวแทนของแต่ละคณะ ซึ่งเป็นหนึงในเอกลักษณ์ของโรงเรียน ประกอบด้วย
    •      คณะสุรนารี สีน้ำเงิน และได้อัญเชิญ "คุณหญิงโม(ท้าวสุรนารี)" วีรสตรีผู้ปกป้องเมืองโคราช เป็นสตรีประจำคณะ
    •      คณะบุญเหลืออนุสรณ์ สีเขียวเข้ม และได้อัญเชิญ "คุณหญิงบุณเหลือ" วีรสตรีผู้ปกป้องเมืองโคราช เป็นสตรีประจำคณะ
    •      คณะนพมาศ สีชมพู และได้อัญเชิญ "นางนพมาศ" กวีหญิงคนแรกของไทย เป็นสตรีประจำคณะ
    •      คณะศรีสุริโยทัย สีเหลือง และได้อัญเชิญ "สมเด็จพระสุริโยทัย" วีรสตรีแห่งกรุงศรีอยุทธยา เป็นสตรีประจำคณะ
    •      คณะเทพสตรี สีแดง และได้อัญเชิญ "ท้าวเทพสตรี" วีรสตรีของเมืองถลาง เป็นสตรีประจำคณะ
    •      คณะศรีสุนทร สีฟ้า และได้อัญเชิญ "คุณมุก(ท้าวศรีสุนทร)" วีรสตรีผู้ปกป้องเมืองภูเก็ต เป็นสตรีประจำคณะ
    •      คณะวิสุทธิกษัตริย์ สีม่วง และได้อัญเชิญ "พระวิสุทธิกษัตรีย์" สมเด็จพระบรมราชชนนีในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นสตรีประจำคณะ
    •      คณะวิสาขา สีเทา และได้อัญเชิญ "นางวิสาขา" ผู้เลิศในทายิกา เป็นสตรีประจำคณะ
    •      คณะสาวิตรี สีน้ำตาล และได้อัญเชิญ "นางสาวิตรี" สตรีผู้เลิศทางสติปัญญา เป็นสตรีประจำคณะ
    •      คณะจามเทวี สีแสด และได้อัญเชิญ "พระนางจามเทวี" ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรหริภุญชัย เป็นสตรีประจำคณะ
    •      คณะมัทรี สีเขียวอ่อน และได้อัญเชิญ "พระนางมัทรี" ยอดพระมารดา แห่งกัณหาชาลี เป็นสตรีประจำคณะ
    •      คณะสีดา สีบานเย็น และได้อัญเชิญ "พระนางสีดา" พระชายาของพระราม เป็นสตรีประจำคณะ

    ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันที่มีชื่อเสียง

    วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558

    รถยนต์ไร้คนขับ

    เหตุผลที่ “กูเกิล” ถูกจัดอันดับเป็นบริษัทแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ขึ้นแซงหน้า “แอปเปิล” ที่ครองแชมป์ สามสมัยติดต่อกันได้เป็นครั้งแรกจากมุมมองจะมีอิทธิพลต่อผู้บริโภคในอนาคตจากการพัฒนานวัตกรรมให้กับชาวโลก ไม่ใช่เพียงแต่เฉพาะในโลกของ “แอนดรอยด์” เท่านั้น
    โครงการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ (self-driving car) เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ถูกจับตามองว่า กูเกิล กำลังจะปฏิวัติโลกอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคต และได้เปิดตัวรถยนต์ต้นแบบไปเรียบร้อยแล้ว
    ทั้งนี้กูเกิลได้พัฒนาโครงการนี้มานานแล้ว แต่ใช้กับรถยนต์ปกติ เช่น รถโตโยต้า พรีอุส ไอบริด หรือเลกซัส เอสยูวี แต่รถยนต์ไร้คนขับที่เปิดตัวล่าสุด เป็นรถยนต์ต้นแบบที่ถูกออกแบบและผลิตโดยกูเกิลเอง เป็นรถยนต์ขนาดเล็ก 2 ที่นั่งหน้าตาเหมือนรถการ์ตูน ไม่มีพวงมาลัย ไม่มีคันเร่ง ไม่มีแป้นเบรกให้เหยียบ ไม่มีกระจกมองหลังและไม่มีที่นั่งคนขับ
    เพราะจำกัดความเร็วไว้ที่ 40 กม./ชั่วโมง ภายในห้องโดยสารดูไม่มีอะไรมากมายนัก มีปุ่มให้กดไปและกดหยุดเท่านั้นพร้อมกับหน้าจอที่แสดงผลเส้นทางเดินทาง โดยใช้ซอฟต์แวร์และเซ็นเซอร์ควบคุมรถยนต์ทั้งหมด
    กูเกิลได้แนะนำแนวคิดกับรถยนต์ไร้คนขับต้นแบบแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์เป็นคนขับหรือควบคุมรถยนต์อีกต่อไป และยืนยันถึงความเป็นไปได้ที่สำคัญคือความปลอดภัยบนท้องถนน รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงชีวิตบนท้องถนนของผู้คนนับล้านในอนาคตด้วย กับเป้าหมายว่าจะผลิตรถยนต์ต้นแบบรุ่นนี้ประมาณ 100 คันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ขณะเดียวกันในช่วงการทดสอบจะนำรถยนต์ที่ใช้คนขับบังคับด้วยมือมาทดสอบอีกด้วย
    เป้าหมายโครงการนี้คือให้รถยนต์ไร้คนขับทำหน้าที่ทั้งหมด เช่น มีนัดทานอาหารเที่ยงในเมือง ให้รถยนต์หาที่จอดเอง ผู้สูงอายุสามารถใช้รถยนต์เดินทางโดยเสรี ไม่ต้องพึ่งพาลูกหลานให้ขับรถ หรือแม้แต่คนเมาสามารถใช้รถยนต์นี้ได้เช่นกัน
    กูเกิลระบุว่ามันเป็นแรงบันดาลใจที่เริ่มต้นเกิดขึ้นจากกระดาษเปล่าและถามว่า รถยนต์นี้จะมีความแตกต่างจากรถยนต์ทั่วไปอย่างไร สิ่งสำคัญคือความปลอดภัย รถยนต์นี้จะมีเซ็นเซอร์คอยตรวจจับจุดบอดของรถยนต์หลายๆ จุด และสามารถตรวจจับวัตถุได้รอบคันภายในระยะทางไกลมากกว่าสนามฟุตบอลสองสนาม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการใช้รถยนต์บนท้องถนนที่มีรถยนต์ขับขี่ไปมาแบบยุ่งเหยิงรวมทั้งทางแยกอีกมากมาย
    หากโครงการนี้ประสบความสำเร็จ ทางกูเกิลจะร่วมกับพันธมิตรที่จะนำเทคโนโลยีนี้มาให้ผู้ใช้รถบนท้องถนนปลอดภัยไร้อุบัติเหตุให้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินอีกต่อไป!

    วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2558

    คำศัพท์ภาษาอังกฤษ



    Home  โฮม บ้าน


    Car  คาร์  รถยนต์  


    Bedroom  เบดรูม ห้องนอน


    Toilet  ทอยเล็ท ห้องน้ำ


    Kitchen  คิทเชน ห้องครัว


    Drawing room  ดราวิงรูม  ห้องรับแขก


    Yard  ยาร์ด  สนามหญ้า


    School  สคูล  โรงเรียน

    Store  สโตร  ร้านค้า


    Restaurant  เรสเทอรอนท  ร้านอาหาร

    วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

    ประโยชน์ของสตรอเบอรี่


    สตรอเบอรี่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผลไม้ที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะ.....
    ๑.มีสารต้นอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี วิตามินเอ โฟเลต และแอนโธไซยานินส์ ที่มีอยู่มากมายในสตรอเบอร์รี่ที่ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง ซึ่งผลจากการศึกษาพบว่า เมื่อเทียบน้ำหนักที่เท่ากับผลไม้ชนิดอื่น ๆ แล้ว พลังในการต้านอนุมูลอิสระของสตรอเบอรี่จะสูงกว่าส้มถึงหนึ่งเท่าครึ่ง สูงกว่าองุ่นแดง ๒ เท่า สูงกว่ากีวี ๓ เท่า สูงกว่ากล้วยหอมกับมะเขือเทศ ๗ เท่าและสูงกว่า
    ลูกแพรถึง ๑๕ เท่า
    นอกจากนี้ผลสตรอเบอรี่ยังอุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนอีกหลายชนิด เช่น เคอซิติน (quercetin) แอนโทไซยานิน (anthocyanin) เคมเพอรอล (kaempferol) รวมถึงวิตามินซีดังที่กล่าวมา ซึ่งพบว่ามีอยู่ในอัตรที่สูงมาก (สตรอเบอรี่ฝานบาง ๆ ๑ ถ้วยจะมีวิตามินซี ประมาณ ๙๔ กรัม) โดยมีผลงานวิจัยมากมายยืนยันว่า สารดังกล่าวได้ไปช่วยยับยั้งการสร้างสารคาร์ซิโนเจน (carcinogens) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการก่อโรคมะเร็ง รวมทั้งไปบล็อกกลไกหรือกระบวนการ (ตั้งแต่เริ่มแรก) ไม่ให้เกิดโรคขึ้น และถ้าเกิดโรคขึ้นแล้ว ก็จะไปยับยั้งเนื้องอก (tumors) ไม่ให้เจริญอีกต่อไป
    ๒.ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน
    ๓.อุดมด้วยวิตามินซี และธาตุเหล็ก มีคุณประโยชน์ต่อระบบเลือดและหัวใจ
    ๔.ในวิตามินซีนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่ามีกรดอินทรีย์สำคัญที่เรียกว่า “กรดแอสคอร์บิก” (ascorbic acid) ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ทั้งยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายต่อโรคภัยต่าง ๆ เช่น โรคภูมิแพ้ และโรคหวัด เป็นต้น ที่สำคัญคือ ยังช่วยชะลอความชรา และการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควรอีกด้วย
    ๕.ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้สะดวก มีสรรพคุณเป็นยาระบายอย่างอ่อน ยาขับปัสสาวะ 
    รับประทานผลสตรอเบอร์รี่สดครั้งละ ๕-๖ ผล เพราะสตรอเบอรี่นั้นอุดมไปด้วยวิตามินซีและธาตุเหล็ก
    ๖.สามารถยับยั้งสารก่อมะเร็งกลุ่มไนโตรซามีนได้(สารกลุ่มนี้กระตุ้นการเกิดมะเร็งในลำไส้) เนื่องจากมีโพลีฟินอลปริมาณสูง
    ๗.มีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจน ลดริ้วรอย เพราะอุดมด้วยวิตามินซี
    ๘.อุดมด้วยซุปเปอร์ไฟเบอร์เพคติน ซึงสามารถช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลได้ระดับหนึ่ง
    ๙.ดูแลสายตา ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาส่วนใหญ่จะเกิดจากอนุมูลอิสระ และการขาดสารอาหารบางชนิด และเมื่อเราอายุมากขึ้น 
    ดวงตาของเรายิ่งถูกทำร้ายได้ง่าย ซ้ำร้ายความแก่ชราจะทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเสื่อมสภาพ แต่สตรอเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างวิตามินซี ฟลาโวนอยด์ กรดฟิโนลิกและกรดเอลลาจิก ซึ่งช่วยชะลอกระบวนการดังกล่าว แถมยังมีโพแทสเซียมซึ่งช่วยปรับความดันในตาให้เป็นปกติอีกด้วย
    ผลไม้ตระกูล เบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อุดมไปด้วยวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ลูทีน ซิแซนทิน โอฟลาวโวนอยด์ และสารแอนต้าแซนธิน ช่วยบำรุงดวงตา ช่วยให้ผิวบุนัยน์ตา รวมทั้งเยื่อบุของอวัยวะต่าง ๆ แข็งแรง โพแทสเซียมซึ่งช่วยปรับความดันในตาให้เป็นปกติและสตรอเบอร์รี่ยังช่วยป้องกันโรคตา เช่น ต้อกระจก โรคตาบอดกลางคืน การรับประทานสตรอเบอร์รี่เป็นประจำทุกวัน ช่วยลดความเสื่อมของจอประสาทตาได้ถึง ๕๐%
    ๑๐.ป้องกันโรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ เมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานมากๆ เข้า กล้ามเนื้อของเราก็มีแต่จะถดถอย ของเหลวบริเวณข้อต่อกระดูกจะเหือดแห้งไปเรื่อย ๆ และร่างกายก็สะสมสารพิษอย่างกรดยูริกเอาไว้มากขึ้น ๆ ทำให้โรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ถามหา แต่เราสามารถขับไล่โรคทั้งสองได้ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสรรพคุณล้างพิษของสตรอเบอร์รี่
    ๑๑.ส่งเสริมการทำงานของสมอง คนเราทั่ว ๆ ไปยิ่งแก่จะยิ่งขี้หลงขี้ลืม เพราะเนื้อเยื่อและเส้นประสาทในสมองเสื่อมสภาพจากอนุมูลอิสระตัวร้าย ซึ่งสตรอเบอร์รี่ช่วยได้เพราะมีวิตามินซี และไฟโตนิวเทรียนต์ ที่ทำให้อนุมูลอิสระหมดฤทธิ์ และคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ระบบประสาท แถมยังมีไอโอดีนที่ทำให้สมองและระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
    ๑๒.ลดความดันโลหิต หากโซเดียมเป็นตัวการทำให้เกิดความดันโลหิตสูง สตรอเบอร์รี่ก็มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับความดันให้เป็นปกติ
    ๑๓.ช่วยปราบโรคหัวใจได้อย่างดี อีกทั้งสตรอเบอร์รี่ยังมีใยอาหาร โฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระมากมายซึ่งจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย แถมวิตามินซีบางชนิดที่พบในสตรอเบอร์รี่จะเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงอีกด้วย
    ๑๔.มีแคลเซียม และฟอสฟอรัส ช่วยในการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
    ๑๕.มีคุณสมบัติในการรักษาโรคนิ่วในไตได้อีกด้วย
    ๑๖.นำใบเสตอเบอร์รี่สดมาแช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืน แล้วนำมาอมบ้วนปาก จะใช้เป็นยาแก้กลิ่นปากได้อย่างดี ทำให้ลมหายใจสดชื่น
    ใช้กลั้วคอ แก้อาการเจ็บคอ ทำให้สุขภาพเหงือกและฟันแข็งแรง รักษาแผลในปากได้อีกด้วย
    ๑๗.สรรพคุณทางสมุนไพรของสตรอเบอร์รี่ ผลสด ช่วยบรรเทาโรคตับอักเสบ ท้องร่วง และโรคเหน็บชา
    ๑๘.ใบสดของสตรอเบอร์รี่ นำมาโขลก แล้วไปประคบตามร่างกายจะช่วยลดอาการอักเสบและบวมช้ำได้เป็นอย่างดี
    ๑๙.มีกรดฟอลิค เป็นประโยชน์สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ช่วยป้องกันไม่ให้ทารกในครรภ์สมองพิการได้
    ๒๐.ช่วยดีท็อกซ์ขับสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่นผ่อนคลาย
    ๒๑.ใช้ทำความสะอาดผิวหน้า โดยให้ผสมสตรอเบอร์รี่ ๒-๓ ผลกับน้ำมะนาว นำมานวดให้ทั่วใบหน้า แล้วจึงล้างออก 
    สตรอเบอร์รี่อุดมด้วยวิตามินและกรดเอเอซเอธรรมชาติ ซึ่งสามารถช่วยปรับสภาพผิวและลดการอุดตันของรูขุมขนได้
    เป็นอย่างดี
    ๒๒.ช่วยบำรุงผิวให้สวยใสไร้ริ้วรอย โดยให้นำผลสตรอเบอร์รี่สดฝานบาง ๆ วางให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ ๑๐-๑๕นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ใช้บำรุงผิวหน้าก่อนนอนเป็นประจำ จะช่วยลบริ้วรอยจากแสงแดดได้
    ๒๓.มีพลังงานต่ำ จึงเหมาะสำหรับลดความอ้วน
    ๒๔.มีวิตามินซีสูง จึงสามารถป้องกันโรคหวัดได้เมื่อทานเป็นประจำ
    ๒๕.ชะลอความชรา เพราะมีสารช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้ ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก และช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกได้
    ๒๖.ใบและรากสตรอเบอร์รี่ตากจนแห้ง ใช้ชงกับน้ำเดือด ดื่มแทนน้ำชา ใช้ใบ และรากสตรอเบอร์รี่ ๒ ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำเดือด ๑กาขนาดกลาง สำหรับสตรีที่มีประจำเดือนไม่ปกติ มาไม่สม่ำเสมอจะหายเป็นปกติ
    ๒๗.ใช้เหล้าไวน์ ๑ ถ้วยตวง ใส่รากและใบสตรอเบอร์รี่ที่ตากแห้ง ๑/๒ ถ้วยตวง ต้มให้เดือดแล้วกรองเอาแต่น้ำ ให้คนที่เป็นโรคตับอักเสบ โรคเลือดออกตามไรฟัน โรคท้องร่วง โรคทางเดินปัสสาวะ ดื่มก่อนอาหารทุกมื้อ อาการป่วยจะทุเลาลงได้
    ๒๘.บำรุงร่างกายหลังฟื้นไข้ โดยรับประทานน้ำคั้นจากผลสตรอเบอร์รี่สดวันละ ๑ แก้ว
    ๒๙.ใช้ใบสตรอเบอร์รี่ซ้อนกันหลาย ๆ ใบ นำมาประคบแก้รอยช้ำบวมบนร่างกาย
    ๓๐.นำใบสตรอเบอร์รี่และรากที่ตากแห้งแล้ว มาใส่โถปั่น ปั่นจนเป็นผงใช้แทนยาสีฟัน ทำให้ฟันขาวเป็นเงางาม
    ๓๑.มีวิตามิน บี ๙ (โฟลิค) ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด และช่วยสร้างเม็ดเลือด ป้องกันโรคโลหิตจาง ช่วยทำให้หลอดเลือดสะอาดปราศจากคราบไขมันเกาะจับ ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

    อาหารที่ชอบ คือ ต้มจืดปลามึกยัดไส้หมูสับ

    ส่วนประกอบ

    • หมูสับ (250 กรัม) 1 ถ้วยตวง
    • ปลาหมึกกล้วยขนาดเล็ก 8 ตัว
    • วุ้นเส้นแช่น้ำหั่นท่อน 1 นิ้ว 1 ถ้วยตวง
    • แครอท 1 หัว
    • คนอร์อร่อยชัวร์(สำหรับหมักหมู) 2 ช้อนชา
    • คนอร์ซุปหมูก้อน 1 ก้อน
    • น้ำเปล่า 4 ถ้วยตวง
    • ต้นหอม และผักชีซอยสำหรัยโรยหน้าตามชอบ

    วิธีทำ

    • นำปลาหมึกไปล้างให้สะอาด เอาหนวดไว้ สะเด็ดน้ำ แล้วพักไว้
    • สับแครอทหยาบๆ 2 ช้อนโต๊ะ ที่เหลือหั่นเป็นแว่นบางๆ พักไว้
    • นำหมูสับ วุ้นเส้น และแครอทสับ มาผสมกับคนอร์อร่อยชัวร์ให้เข้ากัน นำหมูที่ได้ยัดในตัวปลาหมึกที่เตรียมไว้ หมูที่เหลือจากยัดไส้ปลาหมึก นำมาปั้นเป็นก้อนๆ ใส่ในต้มจืดได้
    • ตั้งหม้อต้มน้ำบนไฟแรงจนเดือด ใส่คนอร์ซุปหมูก้อนลงไป คนให้ละลาย ใส่ปลาหมึกยัดไส้และหมูปั้นก้อนลงไป
    • ใส่แครอทลงไป ต้มจนส่วนผสมทั้งหมดสุก ใส่ต้นหอม และผักชีปิดไฟ จัดใส่ชามพร้อมเสิร์ฟ
    • หมายเหตุ เวลายัดไส้ปลาหมึกอย่ายัดให้แน่นมากเพราะเวลาสุกจะล้นออกมาไม่สวย ใช้หนวดปลาหมึกยัดปิดด้านบนกันหมูหลุดออกมา ส่วนเวลาต้มหลังจากเดือดแล้วลดไฟลง อย่าให้เดือดแรง เพราะ ทำให้น้ำซุปขุ่น